โรงเรียนพลังงานสร้างชาติ

ตึกวิทย์ Hybrid Energy

Hybrid Energy

มนุษย์มีมากขึ้นความต้องการในการใช้พลังงานก็มีมากขึ้น พลังงานที่มีอยู่ไม่เพียงพอและแนวโน้มว่าจะลดลง อีกทั้งมีราคาเพิ่มสูงขึ้น การใช้พลังงานจึงต้องรู้จักการใช้อย่างประหยัดและอนุรักษ์พลังงานที่มีอยู่ไม่ให้หมดไป รวมทั้งพัฒนานวัตกรรมหรือการแสวงแหล่งพลังงานใหม่มาชดเชยพลังงานสิ้นเปลืองประเภทใช้แล้วหมดไป ซึ่งพลังงานหมุนเวียนประเภทหนึ่งคือการนำแสงอาทิตย์มาประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับบริบทของตนเองโรงเรียนได้มีแนวคิดทีจะสร้างอาคารเรียนที่เน้นการใช้พลังงานหมุนเวียนโดยติดตั้งแผ่นโซล่าเซลล์ขนาด 10 กิโลวัตต์ และ กังหันลมปั่นไฟขนาดเล็กจำนวน 40 ตัวให้ชาร์จประจุไฟฟ้าลงแบตเตอรี่ แล้วนำมาแปลงเป็นกระแสไฟฟ้าสลับให้ใช้ภายในตึกทั้งหมด อันจะเป็นการลดการใช้พลังงานที่ผลิตจากฟอสซิลหรือถ่านหิน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งในการเกิดสภาวะโลกร้อน

1w

ตึกวิทย์ไฮบริด

จากภาวะเศรษฐกิจ สังคมที่เปลี่ยนแปลงและผันผวนตลอดเวลาการสร้างภูมิคุ้มกันในโรงเรียนเอกชนขนาดเล็กเป็นสิ่งจำเป็นเพราะรายได้ส่วนใหญ่เป็นเงินอุดหนุนรายหัวจากรัฐยังต้องเพิ่มในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา การนำพลังงานแสงอาทิตย์มาผลิตกระแสไฟฟ้าใช้เองเป็นการลดรายจ่ายซึ่งก็คือรายได้นำไปใช้ในการพัฒนาด้านอื่น เช่นโรงเรียนในสหรัฐอเมริกา 3,752 แห่งสามารถผลิตไฟฟ้าในโรงเรียนรวมกันเป็นมูลค่าถึง 77.8 ล้านดอลล่าร์ หรือประมาณ 2,500 บาทต่อปี

10384938_719395701510497_2574985169830727269_n

โรงเรียนโซล่าเซลล์

หากโรงเรียนที่มีค่าไฟประมาณเดือนละแสนบาทหันมาผลิตไฟฟ้าขนาด 166 KW.ในโรงเรียนโดยใช้พื้นที่บนดาดฟ้า บนหลังคาอาคาร หรือพื้นที่ว่างเปล่าของโรงเรียนในการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์โดย 1 KW.ใช้พื้นที่ประมาณ 8 ตร.ม.หาก 166 KW. จะใช้พื้นที่ประมาณ 1,300 ตารางเมตรหรือใช้พื้นที่ไม่ถึงครื่งของสนามฟุตบอล ก็จะประหยัดงบประมาณได้ปีละ 1,200,000 บาท ตามภาพของ ผศ.ย์ประสาท มีแต้ม

คำนวณไฟฟ้าเบื้องต้นจากอุบลราชธานี

เปรียบเทียบประมาณการติดตั้งโซล่าเซลล์

จากสามหมื่นกว่าโรงเรียนทั่วประเทศทดลองนำร่อง 1,000 โรงเรียน ก็จะประหยัดได้ปีละ หนึ่งพันสองร้อยล้านบาทหรือนำมาพัฒนาการเรียนการสอนของครู นักเรียน หรือจ้างครูเงินเดือน 15,000 บาทก็จะได้ครูประมาณ 6,666 คนเข้ามาในระบบการศึกษา และจะได้ไฟฟ้ามากกว่า 160 เมกะวัตต์เข้ามาในระบบอันเป็นการช่วยลดการผลิตไฟฟ้าด้วยก๊าชหรือถ่านหินในเวลากลางวันเพราะโรงเรียนใช้ไฟส่วนมากจากกลางวัน และปริมาณคาร์บอนที่จะขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศถึงกิโลวัตต์ละ 564 กรัมนับเป็นพลังงานสะอาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกทาง

ยกตัวอย่างโรงเรียนขนาดเล็กที่ใช้ไฟ1,000 หน่วยต่อเดือน สามารถลงทุนติดตั้งแผ่นโซล่าเซลล์เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าขนาด 6 กิโลวัตต์เพื่อประหยัดค่าไฟฟ้าเช่นโรงเรียนศรีแสงธรรมได้ใช้งบประมาณ 180,000 บาทจะลดค่าไฟฟ้าได้เดือนละประมาณ 4,000 บาท สามารถคืนทุนได้ภายใน 4 ปี จากนั้นแผ่นโซล่าเซลล์มีอายุการใช้งานถึง 25 ปี หากคิดค่าไฟปีละ 48,000 บาทไปอีก 21 ปี จะลดค่าใช้จ่ายได้นับล้านบาท แต่การเพิ่มขึ้นของค่าไฟมีขึ้นเรื่อยๆดังภาพ

10575310_666815760101825_8501015922694129623_o

หากค่าไฟอีก 25 ปีข้างหน้าหน่วยละ 17 บาท

หรือสถาบันการศึกษาต่างๆที่ใช้ไฟฟ้าเกิน 1 เมกะวัตต์ทดลองผลิตใช้เองก็จะประหยัดค่าไฟได้ประมาณเดือนละ หกแสนบาท หรือปีละ 7.2 ล้านบาท ทั้งนี้มหาวิทยาลัย วิทยาลัย ที่มีความพร้อมต่างๆมากมายหากได้รับการสนับสนุน 1,000 มหาวิทยาลัย หรือวิทยาลัย ผลิตไฟฟ้าระดับ 1 เมกะวัตต์แต่ละปีจะมีงบประมาณประมาณกว่า 7,000 ล้านบาท

โรงเรียนศรีแสงธรรม

โรงเรียนพลังงานสร้างชาติ

แนวทางการพึ่งพาตนเองด้านพลังงานโรงเรียนศรีแสงธรรมได้ทดลองผลิตไฟฟ้าขนาด 6 KW.บนชั้นดาดฟ้าของอาคารเรียนเพื่อศึกษาทดลอง และเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับนักเรียนรวมทั้งโรงเรียน ชุมชนต่างๆได้ให้ความสนใจเข้ามาศึกษาดูงานเพื่อจะนำไปประยุกต์ใช้ในรูปแบบต่างๆที่ทางโรงเรียนได้ทำเป็นแหล่งเรียนรู้อย่างหลากหลาย และเผยแพร่ไปทางยูทูป หรือสื่อออนไลน์ต่างๆ เพื่อผู้ที่สนใจอยู่ทางไกลได้นำไปประยุกต์ใช้ได้ตามการใช้งานของตน

1003388_632243950225673_9107359888256477991_n

พลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 6 กิโลวัตต์

ทั้งนี้ยังจัดเข้าในกิจกรรมการเรียนการสอนให้นักเรียนรู้จักการเก็บข้อมูลในวิชาคณิตศาสตร์ หรือนำมาเป็นวิชาเพิ่มเติมในสาระวิทยาศาสตร์คือวิชาพลังงานทดแทน และมีกิจกรรมชมรมพลังงานทดแทน ซึ่งสามารถประดิษฐ์ผลงานเข้าแข่งขันในจนได้รางวัลทั้งระดับภูมิภาคและระดับประเทศจนมีผู้มาศึกษาดูงานเป็นจำนวนมากทั้งจากต่างประเทศ และโรงเรียนในประเทศ

10154952_589035627879839_1939316335077764979_n

แหล่งเรียนรู้ไฟกระแสตรง จากโซล่าเซลล์ 1 แ่ผ่น แบต 1 ลูก

ด้วยความขาดแคลนอุปกรณ์ทางด้านวิทยาศาสตร์ทางโรงเรียนจึงจัดพลังงานให้เป็นสื่อการสอนให้กับนักเรียนเน้นการนำไปใช้จริงควบคู่ไปกับหลักวิชาการให้นักเรียนลงมือปฏิบัติจนเกิดความชำนาญ มีนวัตกรรมใหม่ๆอยู่เสมอให้นักเรียนได้ต่อยอดทางความคิดในการพัฒนาด้านพลังงานตามเทคโนโลยีที่เหมาะสม

1467268_488500557933347_747697687_n

รถพลังงานแสงอาทิตย์โรงเรียนศรีแสงธรรมกับรางวัลชนะเลิศเหรียญทองอันดับหนึ่ง

การจัดการเรียนการสอนยังได้ขยายไปสู่ชุมชนทั้งใกล้และไกล โดยมีการจัดอบรมด้านพลังงานทดแทน ด้านทักษะอาชีพตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงทุกเดือนเพื่อให้นักเรียน ชุมชนได้ร่วมเรียนรู้นำไปสู่การปฏิบัติในการประกอบอาชีพได้

10532541_664875076962560_955178486801867173_n

กังหันลมปั่นไฟขนาดเล็ก 2 A/H ด้วยความเร็วลม 1 เมตร/วินาที

10659392_682774291839305_4129663284185080119_n

ชนะเลิศเหรียญทองอันดับหนึ่ง

10505325_677705469012854_4628153889390894184_n

ผู้บริหารจากม.อุบล

10176017_594940130622722_8872926813860447334_n

วิศวกรชาวเยอรมันมาดูการประยุกต์ใช้อย่างง่ายในโรงเรียน

10387105_648052765311458_8692174033726063415_o

ปริมาณการลดค่าใช้จ่ายไฟฟ้าของโรงเรียน

จากการดำเนินกิจกรรมต่างๆของโรงเรียนจนสามารถควบคุมปริมาณการใช้ไฟฟ้าได้ตามความเหมาะสมของตนเองซึ่งโรงเรียนต่างๆอาจรวมถึงหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนนำไประยุกต์ใช้ ทำให้ประหยัดงบประมาณของชาติหรือมีงบประมาณไปใช้อย่างอื่นที่จำเป็น และมีพลังงานใช้อย่างเพียงพอ ตามแนวคิด Renewable energy school ของโรงเรียนศรีแสงธรรมซึ่งได้ทดลองผลิตไฟฟ้าใช้เองภายในโรงเรียนที่แสนจะง่ายและราคาถูกแต่คุ้มค่า จากแสงอาทิตย์ที่มีมากพอหากโรงเรียนใช้กันทั่วประเทศตามปริมาณการใช้ของตนเอง ก็จะเป็นการปลูกฝังค่านิยมการอนุรักษ์และประหยัดพลังงาน การสร้างทักษะอาชีพเมื่อนักเรียนสำเร็จการศึกษาสามารถนำไปประกอบอาชีพได้ หรือศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นต่อยอดการพัฒนานวัตกรรม องค์ความรู้ทางด้านพลังงานสู่การสร้างชาติ

10352597_626540904129311_5068630066591948747_n

โรงเรียนพลังงานสร้างชาติ

แนะนำโครงการพึ่งพาตนเองด้านพลังงานของโรงเรียน

ข้อมูลเพิ่มโรงเรียน

https://www.facebook.com/sisaengtham.ac.th

กำเนิดโซล่าเซลล์

10371390_671228649660536_6714267697552616390_n

กำเหนิดโซล่าเซลล์
สิ่งประดิษฐ์จากปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์ที่เรียกว่า โฟโต้โวตาอิก (photovoltaic) โดยคำว่า โฟโต้(photo) เป็นภาษากรีกแปลว่า แสง ส่วนโวตาอิก (voltaic) หมายถึงแรงดันไฟฟ้า ซึ่งได้มาจากชื่อของอเลสซานโดร โวลตา (Alessandro Volta)

10544785_667749386675129_1294628305014599449_nปรากฏการณ์โฟโต้โวลตาอิกได้รับการค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1839 โดยอเล็กซานเดร เอ็ดมันด์ เบคคีเรล (Alexandre-Edmond Becquerel) นักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศสจึงอาจกล่าวได้ว่า เบคคีเรลคือบิดาของเซลรับแสงอาทิตย์ก็ได้ แต่กว่าที่ชื่อของปรากฏการณ์นี้จะได้รับการรับรองเบคคีเรลต้องรอถึงปี ค.ศ. 1849 เลยทีเดียว

ทว่าจากแนวคิดนั้นกว่าจะคนที่สามารถประดิษฐ์เซลรับแสงอาทิตย์ชิ้นแรกของโลกขึ้นมาได้โลกนี้ต้องรอถึงปี ค.ศ. 1883 นักประดิษฐ์ชาวอเมริกันที่ชื่อ ชาร์ล ฟริตส์ (Charles Fritts) ได้นำแนวคิดนี้มาสร้างเซลรับแสงอาทิตย์ได้สำเร็จโดยใช้สารกึ่งตัวนำที่ชื่อเซเรเนียมเคลือบลงบนแผ่นทองคำ แต่ประสิทธิภาพที่ได้มีเพียง 1% เท่านั้น เซลรับแสงอาทิตย์ของฟริตส์จึงยังต้องอยู่ให้ห้องทดลองต่อไป

จากนั้นมีนักประดิษฐ์ และนักวิทยาศาสตร์อีกหลายต่อหลายคนพยายามต่อยอดแนวคิดและผลงานของเบคคีเรลและฟริตส์ ไม่เว้นแม้แต่อัลเบิร์ตไอน์สไตน์ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1954 ทีมงานผู้สามารถจากเบลแลบ (Bell Lab) สหรัฐอเมริกาอันประกอบด้วย เจอรัลด์ แอล เพียร์สัน (Gerald L. Pearson), แดรีล เอ็ม แชปิน (Daryl M. Chapin) และกัลวิน เอส ฟูลเลอร์ (Calvin S. Fuller)ได้ค้นพบการนำลิเธียม-ซิลิกอนเข้ามาเป็นส่วนประกอบสำคัญในการสร้างเซลรับแสงอาทิตย์ ทำให้สามารถสร้างเซลรับแสงอาทิตย์ได้สำเร็จ โดยมีประสิทธิภาพ 6% โดยความสำเร็จในครั้งนั้นได้รับการประกาศให้โลกรู้ด้วยฝีมือของ นิวยอร์คไทม์ หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของอเมริกันชนนั่นเอง ต่อมาทีมงานได้จดสิทธิบัตรของผลงานนี้ในปี ค.ศ. 1957 และในปีเดียวกันนั้นเองฮอฟฟ์แมนอิเล็กทรอนิกส์สามารถผลิตเซลรับแสงอาทิตย์ที่มีประสิทธภาพ 8% ได้เป็นผลสำเร็จ และก็เป็นเองฮอฟฟ์แมนอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถผลิตเซลรับแสงอาทิตย์ออกจำหน่ายในเชิงพาณิชย์เป็นเจ้าแรกด้วยในปี ค.ศ. 1959 เชื่อว่า ถึงไม่บอกก็คงทราบว่า ราคาของมันในขณะนั้นแพงสุดๆ ครับ

นับจากนั้นได้มีการต่อยอดและพัฒนาเซลรับแสงอาทิตย์มาอย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้มีผู้ผลิตเซลรับแสงอาทิตย์ที่มีประสิทธิภาพสูงถึงกว่า 40% แล้ว แต่ราคายังสูงอยู่มาก และเป็นการใช้งานในกิจการอวกาศเป็นหลัก สำหรับเชิงพาณิชย์แล้วเซลรับแสงอาทิตย์ที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลายในปัจจุบันนี้มีประสิทธิภาพประมาณ 15%

ดื่มกาแฟอย่างไรมีประโยชน์

13434983_ml

คนรักกาแฟควรรู้

เมื่อ20 ปีที่ผ่านมา กาแฟและเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนถูกโจมตีว่า ทำให้เกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิต เป็นหมัน ทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์แท้งได้หรือทารกน้ำหนักน้อย เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งรังไข่ ซีสต์ในเต้านม และกระดูกพรุน แต่ข้อมูลการวิจัยในปัจจุบันเปิดเผยว่าการดื่มกาแฟเพียงวันละ 1-2 ถ้วยนั้นปลอดภัย และอาจให้ผลดี ถ้าดื่มให้เป็น

รายงานผลการวิจัยจากฟินแลนด์และมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดระบุว่า คนที่ดื่มกาแฟมีความเสี่ยงการเกิดเบาหวานประเภท 2 น้อยกว่าคนที่ไม่ดื่ม ความเสี่ยงที่ลดลงเป็นสัดส่วนกับปริมาณกาแฟที่ดื่ม และกาแฟไร้คาเฟอีนให้ผลน้อยกว่า ส่วนชาไร้คาเฟอีนและเครื่องดื่มอื่นๆที่มีคาเฟอีนไม่ให้ผลเหมือนกาแฟ แต่นักวิจัยก็เตือนว่าอย่าเพิ่งมั่นใจจนหันไปโหมกาแฟ เพราะนักวิจัยยังต้องติดตามการวิจัยอีกมาก

นอกจากนี้กาแฟยังยังช่วยลดความเสี่ยงการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี มะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคพาร์คินสัน ลดอันตรายจากตับในผู้ที่มีความเสี่ยงโรคตับ ลดอาการหอบในผู้ที่มีโรคหอบหืด เพิ่มความจำ และสำหรับนักกีฬาเพิ่มความทนและความอึดในกีฬาที่ต้องใช้เวลานาน

สำหรับผู้ที่ดื่มกาแฟเพราะต้องการแก้ง่วง นักวิจัยแนะนำให้ดื่มปริมาณน้อยๆ แต่กระจายการดื่มออกไปตลอดวัน เช่น แทนที่จะดื่มถ้วยใหญ่ 16 ออนซ์ (500 มล.)ในตอนเช้า ให้ดื่มเพียงครั้งละ 2-3 ออนซ์ (60-90 มล) แต่บ่อยขึ้น กาแฟจะเริ่มออกฤทธิ์ใน 15 นาทีและจะอยู่ในร่างกายนานหลายชั่วโมง และต้องใช้เวลาถึง 6 ชั่วโมงกว่าที่จะถูกขจัดออกจากร่างกาย

10616662_354322514743032_7114394621523927163_n

ของดีในกาแฟ

นักวิจัยของศูนย์วิจัยของศูนย์วิจัยใหญ่ในสวิสเซอร์แลนด์ซึ่งมีบริษัทขายกาแฟรายใหญ่ของโลกพบว่า เมล็ดกาแฟมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าชาเขียวถึง 4 เท่า และยังมากกว่าโกโก้ ชาสมุนไพรและไวน์แดงอีก ที่มากกว่าเพราะผู้บริโภคดื่มกาแฟมากกว่าเครื่องดื่มอื่นๆ แต่สารต้านอนุมูลอิสระในกาแฟแต่ละถ้วยและแต่ละยี่ห้อนั้นก็ไม่เท่ากันขึ้นกับชนิดของกาแฟ

กาแฟพันธุ์โรบัสต้า

(Robusta) มีสารต้านอนุมูลอิสระและคาเฟอีนมากกว่าพันธ์อราบิก้า (Arabicas) ถึง 2 เท่า ซึ่งเป็นผลมาจากวิธีการคั่วกาแฟ และปริมาณกาแฟที่ละลายแต่ละถ้วย รวมทั้งยังขึ้นอยู่กับวิธีการชงกาแฟ ระยะเวลาและปริมาณกาแฟที่ใช้ด้วย

ข้อควรระวังในกาแฟ

คอกาแฟอย่าเพิ่งย่ามใจกับข้อมูลด้านดีๆ เพราะองค์ประกอบหลักของกาแฟคือสารคาเฟอีนซึ่งเป็นเป็นสารกระตุ้น จึงมีผลต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจพอสมควร โดยทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น เพิ่มความดันโลหิต และทำให้หัวใจเต้นผิดปกติในบางครั้ง งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยโทรอนโทเปิดเผยว่า การดื่มกาแฟมากอาจเพิ่มความเสี่ยงหัวใจวายเฉียบพลันในผู้ที่มียีนขจัดคาเฟอีนช้า ทำให้คาเฟอีนอยู่ในกระแสเลือดนานขึ้น แต่สำหรับคนที่มียีนปกติที่ขจัดคาเฟอีนได้เร็วกาแฟก็จะไม่มีผล

ถึงอย่างไรนักวิจัยก็เชื่อว่าการดื่มเพียง 1-2 ถ้วยจะไม่มีผลต่อการเกิดหัวใจวายเฉียบพลันไม่ว่ามียีนอย่างไร แต่การดื่มวันละ 4 แก้วขึ้นไปไม่ให้ผลดีขึ้น ดังนั้น ควรดื่มแต่พอควร เพราะปัจจุบันการตรวจยีนยังไม่ได้มีใช้กันเหมือนการตรวจสุข ภาพทั่วไป และยีนที่แตกต่างกันทำให้ผลการวิจัยทางโภชนาการที่สัมพันธ์กับโรคต่างๆ ที่ออกมามีข้อมูลขัดแย้งกันจนเกิดความสับสน

ส่วนผลของกาแฟต่อสุขภาพผู้หญิงก็ยังไม่มีผลวิจัยชัดเจน ว่าจะเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเต้านม ซีสต์ในเต้านมหรือกระดูกพรุนหรือไม่ การเดินสายกลางจึงดีที่สุด ผู้ที่ดื่มกาแฟสกัดคาเฟอีน อาจคิดว่าปลอดภัย แต่นักวิจัยเตือนว่า กาแฟสกัดคาเฟอีนอาจเพิ่มระดับกรดไขมันในเลือดให้สร้างแอลดีแอล ซึ่งเป็นคอเลสเทอรอลตัวร้ายได้ เพราะในกระบวนการสกัดคาเฟอีนจะสกัดเอาสารเฟลโวนอยด์ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและสารอื่นๆ ที่ให้รสชาติกาแฟแท้ๆ ออกไปด้วย นอกจากจะอร่อยน้อยลงแล้วยังมีผลเสียต่อสุขภาพอีกด้วย

ข้อควรปฎิบัติ

เลี่ยงกาแฟที่ใช้หม้อต้มแบบสไตล์สแกนดิเนเวีย เพราะจะมีสารไดเทอร์พีนสูง เพิ่มระดับคอเลสเทอรอลในเลือด ควรเลือกกาแฟสำเร็จรูปที่ละลายน้ำ หรือชนิดกรองหยด และเอสเพรสโซ ซึ่งจะมีผลน้อยกว่า

ถ้าต้องเลือกกาแฟสกัดคาเฟอีน ควรเลือกชนิดที่ใช้กระบวนการสกัดธรรมชาติ (Swiss Water Process) ตรวจ สอบยี่ห้อได้จาก SwissWater.com

สำหรับผู้ที่เลี่ยงกาแฟอยู่แล้ว ไม่ควรหันมาดื่มเพียงเพื่อต้องการผลดีจากคาเฟอีน โดยเฉพาะคนที่ร่างกายไวต่อกาแฟ การดื่มอาจยิ่งเพิ่มผลเสีย เช่น หัวใจเต้นเร็วขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น กระวนกระวาย นอนไม่หลับ กระเพาะหลั่งกรดออกมามากเกินควร ทำให้ปวดท้อง และเป็นสารขับปัสสาวะทำให้ร่างกายเสียน้ำมากขึ้น ดังนั้นทุกครั้งที่ดื่มกาแฟควรดื่มน้ำตามไปชดเชยด้วย

ระวังสิ่งที่เติมลงในกาแฟ

เช่น ครีม นมไขมันเต็ม น้ำตาล น้ำผึ้ง เพราะเท่ากับเติมพลังงานส่วนเกิน กาแฟมาตร ฐาน 1 ถ้วย มีขนาด 5-6 ออนซ์หรือ 150-180 มล. แต่ที่ขายโดยทั่วไปนั้นมีขนาด 12 ออนซ์หรือ 360 มล . ซึ่งมากกว่าถึง 2 เท่า ดังนั้น ควรจำกัดการดื่มให้ไม่เกิน 5 ถ้วย ซึ่งเป็นปริมาณที่ใช้ในการศึกษาวิจัย

สารคาเฟอีนเป็นสารธรรมชาติที่พบในอาหารอื่นด้วยเช่นใบชา เมล็ดโคลา โกโก้ ช็อคโกแลต น้ำอัดลมสีดำ และยาบางชนิด ซึ่งอาจทำให้ร่างกายได้รับคาเฟอีนเกินควร จึงต้องตรวจสอบพฤติกรรมของตัวเองเสมอ

ที่มา http://www.herbdd.com/

ภาพ  spokedark.tv

บ้านดินครูอาสา

บ้านดิน

บ้านพักครูอาสาสมัครหรือวิทยากรที่มาอบรม รวมทั้งแขกที่มาเยี่ยมโรงเรียนศรีแสงธรรมที่มาพักยังไม่สะดวกจึงได้พานักเรียนปั้นก้อนอิฐดินเพื่อนำมาสร้างบ้านดิน การสร้างบ้านดินก็ได้นำเสนอไปแล้วสองหลังคือ หลังแรกเป็นดินทั้งหลัง หลังที่สองเป็นห้องเรียนบ้านดินของโรงเรียน หลังนี้เป็นห้องพักสำหรับครูขนาด 52 ตารางเมตร  2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ งบประมาณก่อสร้าง 140,000 บาท โดยได้รับความเอื้อเฟื้อออกแบบโดย ผศ.ดร.ชำนาญ บุญญาพุทธิพงศ์ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยขอนแก่น

536969_326773717439366_1234404789_n

การก่อสร้างก็เช่นเดียวกับการก่อสร้างบ้านทั่วไปเพียงแต่ใช้ดินเป็นผนังซึ่งมีความหนาถึง 20 ซม.จึงทำให้ความร้อนผ่านเข้ามาไม่ได้จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมบ้านดินเย็น เริ่มต้นด้วยการหาแหล่งดินมาย่ำคือไม่เป็นดินเหนียวเกินไปเพราะจะทำให้ก้อนอิฐดินเปราะ ไม่เป็นทรายเพราะจะปั้นก้อนดินไม่ได้ ดังนันจึงสรุปได้ว่าเอาดินที่ไหนก็ได้ที่ใกล้กับบริเวณที่จะสร้างเพราะไม่ต้องขนย้ายไกล

30371_306223389494399_751048713_n

ดินหน้าอาคารก็เหมาะหลายอย่าง

29550_304505186332886_1883290581_n

หนูน้อยนักย่ำดิน

การทำก้อนอิฐดินคือใช้แกลบผสมกับดิน และน้ำ นวดให้เข้ากันหากนวดไม่เข้ากันแล้วก้อนอิฐจะเปราะหักง่ายแรกๆอาจจะนวดดินให้เข้ากันยากเพราะดินยังใหม่ แต่หากนวดครั้งต่อไปจะง่ายขึ้นเพราะน้ำได้หมักดินไปด้วย หากจะนวดต่อในวันถัดไปแนะนำให้ปล่อยน้ำเข้าในบ่อดินเป็นการหมักดินไว้

61369_304505219666216_1995088767_n

สนุกกันเต็มที่

เมื่อนวดดินได้ที่แล้วก็เอามาใส่ในบล็อกไม้ขนาด 40 X 20 X 10 ซม.ในนี้กล่องหนึ่งจะทำได้ห้าก้อนพร้อมกันซึงจะทำให้ก้อนดินครบตามจำนวนได้เร็ว

77031_304329596350445_1506192284_n

ก้อนดินต้องตากให้แห้งไม่น้อยกว่า 14 วัน โดยวางราบก่อนหนึ่งสัปดาห์ และพลิกตั้งไว้อีกหนึ่งสัปดาห์เพื่อให้ก้อนอิฐดินแห้งสนิท หากอยากทดลองความแข็งของก้อนดินก็ยกขึ้นแล้วปล่อยมือหากไม่หักกลาง หรือบิ่นขอบก็ใช้ได้

154403_306223272827744_1299665035_n

อิฐดิน

380116_308382085945196_1480420768_n

เมื่อครบจำนวนแล้วก็จะนำมาก่อตามแบบอาคารที่วางไว้ซึ่งมีการทำโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กเหมือนการก่อสร้างบ้านทั่วๆไป หรือบางแห่งจะไม่ใช้โครงสร้างคือเอาผนังเป็นตัวรับน้ำหนักซึ่งเป็นการยากในการสร้างในที่อาคารสาธารณะเพราะการรับรองของวิศวะกรจะทำได้ยาก เพื่อไม่ให้เกิดความยุ่งยากจึงได้ทำโครงสร้างไว้เลย

75283_300680466715358_100575408_n

แบบอาคารห้องพักบ้านดิน

การก่อผนังก็ทำเหมือนก่ออิฐบล็อกเพียงแต่ใช้โคลนมาเป็นตัวเชื่อมก้อนอิฐดินเข้ากัน หากมีฝีมือทางช่างบ้างก็จะก่อนได้สวยเรียบเพราะจะทำให้ฉาบง่าย หรือตกแต่งได้ตามใจชอบ

67897_310357962414275_61094484_n

การก่ออิฐและตกแต่งช่องลมภายในห้อง

12041_309519825831422_2114137898_n

การก่อผนังจนถึงระดับวงกบหน้าต่างก็ติดตั้งประตูหน้าต่างไปเลย

การฉาบ

481476_310832655700139_847206457_n

ขอเป็นนายแบบฉาบดิน

68649_311190032331068_1481827711_n

การฉาบ

เมื่อก่ออิฐจนได้ระดับตามความต้องการแล้วก็ฉาบ ก็ใช้โคลนมาฉาบเช่นเดิม

24451_320292888087449_654473160_n

การนำไม้ไผ่มาประยุกต์เข้าด้วยกัน

75378_317320968384641_1361519978_n

เมื่อฉาบเสร็จแล้วก็เป็นการตกแต่งตามชอบใจ

317961_321233301326741_1787103604_n

เพดานไม้ไผสาน

หลังจากนั้นก็คือการทำห้องน้ำซึ่งต้องระวังความชี้นในผนังดินโดยการปูกระเบื้องผนังให้เรียบร้อยเพราะถ้าโดนน้ำดินจะร่วงลงมา ถ้าติดกระเบื้องเข้าไปก็จะกันน้ำ และสวยงาม

406126_319834774799927_703288275_n

ผนังห้องน้ำด้วยกระเบื้อง

394922_325598547556883_1996742959_n

ปูกระเบื้องพื้นห้องน้ำ

14890_323596911090380_1831532793_n

ได้บ่อเลี้ยงปลาหน้าบ้านพอดีจากหลุมดิน

เพียงเท่านี้ก็ได้บ้านพักครูอย่างดี ส่วนมากอาสาสมัครชาวต่างชาติมักจะขอพักที่นี่ ลองๆเอาไปทำดูง่ายๆสไตล์ศรีแสงธรรม

536969_326773717439366_1234404789_n 479761_306292019487536_944854122_n

556778_304506002999471_1743694736_n

เครื่องหมายรับประกันคุณภาพประจำงาน

หรือหากสนใจมาเรียนรู้ ศึกษาดูงานได้ที่โรงเรียนศรีแสงธรรม บ.ดงดิบ ต.ห้วยยาง อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี และรูปภาพเพิ่มเติมได้ที่

https://www.facebook.com/sisaengtham.ac.th/media_set?set=a.719911644792236.100003202213034&type=3

เด็กดีศรีแสงธรรม

10153830_726676224115778_3507212818414288365_n
ด.ช.วันนพ สร้อยคำ นักเรียนชั้นม.3 โรงเรียนศรีแสงธรรม บ.ดงดิบ ต.ห้วยยาง อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี เก็บเงินได้ 11,140 บาท (หนึ่งหมื่นหนึ่งพันหนึ่งร้อยสี่สิบบาท) ได้นำมาแจ้งให้คุณครูประกาศหาเจ้าของ และมีเจ้าเของมาติดต่อขอรับแล้วด้วยความดีใจ

10801687_726649520785115_6119217768165487953_n 10357831_726649524118448_7673007704332374402_n

ทางโรงเรียนขอประกาศชื่นชมในความซื่อสัตย์ มีจิตใจไม่โลภเอาของคนอื่น ของเด็กชายวันนพ สร้อยคำ ที่ได้รับการฝึกฝนอบรมจิตใจมาตลอดเวลาที่ศึกษาอยู่ในโรงเรียนศรีแสงธรรมนี้ ซึ่งเก็บเงินได้ใบบริเวณโรงเรียนเวลาประมาณ 12 น.วันที่ 19 พฤศจิกายน 2557

ผ้าป่าการศึกษาสร้างอาคารเรียน

ผ้าป่าสร้างอาคารเรียน

ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพผ้าป่าสามัคคีสร้างอาคารโรงเรียนการกุศลวัดป่าศรีแสงธรรมในวันที่ 9 มกราคม 2558 ร่วมกับ คุณสุธาศิน วิญญา และคณะศรัทธาจากประเทศนิวซีแลนด์

10425413_723666014416799_6730314770262506412_n

โครงการก่อสร้างอาคารเรียนโรงเรียนศรีแสงธรรม
ได้ก่อสร้างอาคารเรียน 4 ชั้น ขนาด 52 X 11.50 เมตร งบประมาณ 18 ล้านบาท งบประมาณก่อสร้างทั้งหมดได้จากการบริจาคของผู้มีจิตศรัทธาได้ร่วมกันบริจาคในกิจกรรมต่างๆของโรงเรียน
>>ปัจจุบันได้ก่อสร้างไปแล้วกว่า 90 % ใช้งบประมาณไป 13.8 ล้านบาท ซึ่งได้จากเงินบริจาค 7 ล้าน และเงินกู้ยืมอีก 6.8 ล้านบาท
เพื่อให้มีห้องเพียงพอต่อการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียน

12781_716783731771694_3507757676334886837_n

>>>>จึงขอเชิญชวนทุกท่านได้ร่วมบริจาคสร้างอาคารเรียนให้เยาวชนในชนบทห่างไกลมีสถานศึกษา เล่าเรียน ฝึกฝนอบรม ให้เป็นคนดีมีความรู้อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข และเป็นกำลังสำคัญของชาติในอนาคต

ท่านสามารถบริจาคได้ที่บัญชี
“โรงเรียนศรีแสงธรรม” ธ.กรุงไทย สาขา เทสโก้โลตัสพิบูลมังสาหาร เลขที่บัญชี 862-0-064355 หรือ
บัญชี “กองทุนการศึกษาวัดป่าศรีแสงธรรม” ธ.กรุงเทพ สาขาย่อยเทสโก้โลตัสพิบูลมังสาหาร เลขที่ 786 006 3333

ทั้งนี้ท่านยังสามารถนำใบเสร็จรับเงินไปลดหย่อนภาษีที่กรมสรรพากร ได้ 2 เท่าของเงินบริจาค (http://www.rd.go.th/publish/28653.0.html)
หากท่านบริจาคแล้วสามารถส่งหลักฐานการโอนได้ที่ sst_ac@hotmail.com
หรือติดต่อ พระครูวิมลปัญญาคุณ 08 6233 1345

16402_716245661825501_2544049481489038062_n

ชมวีดีทัศน์แนะนำโรงเรียนศรีแสงธรรม

วอเตอร์เครสราชินีแห่งผัก

10428630_726020704181330_7330761687484877471_n

วอเตอร์เครส (Watercress) หรือ สลัดน้ำ ส่วนคนลาวจะเรียกผักชนิดว่า ผักน้ำ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Nasturtium officinale W.T. Aiton โดยผักวอเตอร์เครสจัดเป็นราชินีผักสำหรับคนรักสุขภาพปัจจุบันเป็นที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่คนรักสุขภาพในประเทศแถบยุโรป นิวซีแลนด์ และอเมริกา โดยมีต้นกำเนิดในประเทศเนปาล นิวซีแลนด์ และอเมริกาเหนือ

สำหรับลักษณะของผักวอเตอร์เครสนี้ ลำต้นและใบจะคล้ายผักเป็ดไทย แต่จะต่างกันตรงที่ขนาดความยาวของใบ โดยผักวอเตอร์เครสจะมีความยาวมากกว่า สำหรับสายพันธุ์ของผักวอเตอร์เครสมีอยู่ 2 สายพันธุ์หลักๆที่นิยมปลูกรับประทานก็ได้แก่ พันธุ์สีเขียวและพันธุ์สีแดง (หรือน้ำตาล) นอกจากจะปลูกไว้เพื่อรับประทานแล้วยังใช้ปลูกเป็นไม้ประดับได้ทั้งในน้ำและบนดิน สำหรับในประเทศไทยนั้นผักชนิดนี้เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยมีแหล่งปลูกที่สำคัญในแถบภาคเหนือ และภาคใต้ ซึ่งเป็นที่นิยมปลูกกันมากเพราะเป็นผักที่ปลูกง่าย โตเร็ว รับประทานสดได้ จะนำมาประกอบอาหารก็อร่อยใช้ได้เลยเลยทีเดียว สำหรับคุณค่าทางโภชนาการของผักชนิดนี้ขอบอกเลยว่าเยอะมากๆ (ถ้าไม่เยอะจริงจะเป็นราชินีผักได้ยังไง?)

ผักวอเตอร์เครส นั้นมีคุณค่าทางอาหารสูง เพราะอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดในปริมาณที่สูงกว่าผักหลายๆชนิด โดยมีปริมาณแคลเซียมสูงกว่าในนมสด มีธาตุเหล็กมากกว่าผักขม มีวิตามิเอในปริมาณที่สูงมาก มีวิตามินซีสูงกว่าส้ม วิตามินอีที่สูงกว่าผักกาดธรรมดาถึง 2 เท่าตัว !! และมีงานวิจัยของมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ (University of Illinois) คณะเกษตรศาสตร์พบว่าผักวอเตอร์เครสสามารถช่วยต่อต้านโรคมะเร็งได้ และยังมีคุณสมบัติช่วยล้างสารพิษตกค้างในร่างกายอีกด้วย โดยผักวอเตอร์เครสประมาณ 10 ยอดจะให้วิตามินเอถึง 1 ใน 4 ของที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน !

10428630_726020704181330_7330761687484877471_n

ประโยชน์ของผักวอเตอร์เครส

  1. ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความแก่ชรา
  2. ช่วยเสริมสร้างภูมิคุมกันให้กับร่างกาย บำรุงสุขภาพ
  3. ประโยชน์ของผักวอเตอร์เครส ช่วยบำรุงและรักษาสายตาเพราะเป็นผักอุดมไปด้วยวิตามินเอ
  4. สารลูทีนและเบต้าแคโรทีนในผักชนิดนี้ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเกี่ยวกับนัยน์ตา อย่างเช่น ต้อในตาและจอประสาทตาเสื่อม
  5. ช่วยป้องกันและรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน
  6. เป็นผักที่ไม่มีคอเลสเตอรอล และยังช่วยลดระดับไขมันในเลือดได้อีกด้วย
  7. ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรเชื่อว่าผักวอเตอร์เครสนั้นสามารถช่วยล้างเลือดในร่างกายได้
  8. ช่วยบำรุงและรักษากระดูกและฟันให้แข็งแรง
  9. เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคทางเดินหายใจ
  10. ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน
  11. เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
  12. สรรพคุณวอเตอร์เครส มีคุณสมบัติช่วยล้างสารพิษตกค้างในร่างกายได้
  13. ช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือด
  14. ผักวอเตอร์เครสช่วยลดการถูกทำลายของเซลล์เม็ดเลือดขาวได้มากถึง 23%
  15. ช่วยยับยั้งป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง และช่วยยับยั้งการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งไปยังบริเวณส่วนอื่นๆ
  16. ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งปอด
  17. ชวยลดการเติบโตของเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่
  18. ช่วยลดการทำลายของ DNA ของเซลล์บริเวณลำไส้
  19. ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านม
  20. ช่วยลดอันตรายของการเกิดโรคมะเร็งที่มีสาเหตุมาจากควันบุหรี่และสารพิษอื่นๆที่ได้รับจากอาหารต่างๆ
  21. สรรพคุณผักวอเตอร์เครส ช่วยในการย่อยอาหาร
  22. มีคุณสมบัติช่วยในการห้ามเลือดเมื่อนำมาผสมกับน้ำส้มสายชู
  23. นำมารับประทานสดหรือใช้ประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู เช่น สลัด แกงจืด ต้มซุป ผัดไฟแดง ชุบแป้งทอด รับประทานสดพร้อมกับส้มตำ น้ำพริก สอดไส้แซนวิส รวมไปถึงใช้ตกแต่งอาหารให้น่ารับประทานยิ่งขึ้น

ผ้าการศึกษา58

donation

ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพผ้าป่าการศึกษาร่วมกับผู้ปกครองและคณะเจ้าภาพจากจ.ชลบุรีเพื่อ จัดซื้อเครื่องดนตรีให้กับนักเรียน
ณ โรงเรียนศรีแสงธรรม วันที่ 1 มกราคม 2558
เนื่องจากโรงเรียนยังไม่มีสื่ออุปกรณ์การเรียนการสอนสำหรับนักเรียนทางผู้ปกครองนักเรียนได้ตระหนักถึงการพัฒนาสุนทรียภาพทางอารมณ์ของนักเรียนให้มีความหลากหลาย ตรงตามความถนัดและสนใจจึงร่วมกันจัดผ้าป่าเพื่อนำมาซื้อเครื่องดนตรีและเครื่องเสียงให้กับโรงเรียน
>>>>จึงขอเชิญชวนทุกท่านได้ร่วมบริจาคซื้ออุปกรณ์ เครื่องเสียง เครื่องดนตรีให้เยาวชนในชนบทห่างไกลมีสื่อ อุปกรณ์การเรียนการสอน เพื่อเสริมทักษะ สติปัญญา อารมณ์ของนักเรียนอันจะส่งผลการเรียนรู้ของนักเรียนได้

ท่านสามารถบริจาคได้ที่บัญชี
“โรงเรียนศรีแสงธรรม” ธ.กรุงไทย สาขา เทสโก้โลตัสพิบูลมังสาหาร เลขที่บัญชี 862-0-064355 หรือ
บัญชี “กองทุนการศึกษาวัดป่าศรีแสงธรรม” ธ.กรุงเทพ สาขาย่อยเทสโก้โลตัสพิบูลมังสาหาร เลขที่ 786 006 3333

ทั้งนี้ท่านยังสามารถนำใบเสร็จรับเงินไปลดหย่อนภาษีที่กรมสรรพากร ได้ 2 เท่าของเงินบริจาค (http://www.rd.go.th/publish/28653.0.html)
หากท่านบริจาคแล้วสามารถส่งหลักฐานการโอนได้ที่ sst_ac@hotmail.com
หรือติดต่อ พระครูวิมลปัญญาคุณ 08 6233 1345

ห้องเรียนบ้านดิน

ห้องเรียนบ้านดินศรีแสงธรรม

47053_362157667234304_1203603932_n

600463_337145633068841_187373435_n

ทวารบาลด้านซ้าย

379356_337145666402171_9944530_n

ทวาลบาลด้านขวา

427298_337145626402175_843819067_n

ภาพวาดอัปสราบนผนัง

526587_337145639735507_333585711_n

984203_390168771099860_984512239_n

ห้องเรียนบ้านดิน

ห้องเรียนดิน

บ้านดิน เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่วัดป่าศรีแสงธรรมได้ทดลองสร้างเป็นบ้าน จึงได้นำเทคนิคความรู้มาใช้แก้ปัญหาการขาดแคลนห้องเรียนของโรงเรียนศรีแสงธรรมซึ่งขาดแคลนห้องเรียน เป็นการพึ่งพาตนเองด้านความที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นปัจจัยหลักพื้นฐาน และการสร้างบ้านดินนั้นยัง

10154952_589035627879839_1939316335077764979_n

ตอนเย็นเปิดไฟจากโซล่าเซลล์ทั้งหลังสว่างทั้งคืน 23 ดวง

10372574_637488573034544_5947520222345632512_n

ห้องเรียนบ้านดิน คู่กับ อาคารพยาบาลสีเขียว

1959638_553712401412162_596325085_n

วิวด้านบนของอาคารเรียนบ้านดิน

ป็นการลดค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง ผนังที่ทำด้วยดินมีความหนาถึง 20 เซนติเมตร ทำให้ความร้อนผ่านเข้ามาภายในห้องต้องใช้เวลาถึง 8 ชั่วโมง ในหน้าหนาวจะเห็นได้ชัดตอนเย็นจะอุ่นพอดี ซึ่งขั้นตอนวิธีทำก็ไม่ต่างจากหลังแรกเท่าใด แต่ห้องเรียนเป็นอาคารสาธารณะจำเป็นต้องเสริมคอนกรีต และเหล็กขึ้นมาเพื่อความแข็งแรง บนพื้นที่ 112 ตารางเมตร ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 140,000 บาท

10382169_725558760894191_6656288685605133795_n

แบบบ้านดิน

10624870_725558927560841_6251534501482400954_n

แบบอาคารบ้านดิน

10628385_725558930894174_611447936524858816_n

แบบห้องเรียนบ้านดิน

แบบห้องเรียนบ้านดิน 112 ตารางเมตร เป็นรูปแปดเหลี่ยม

ขั้นตอนการทำหลังนี้คือ

1.โครงสร้างก่อนคือตั้งเสา และมุงหลังคา

528583_362113427238728_1501626230_n

โครงสร้างหลังคา

2. เตรียมดินมาปั้นก้อนอิฐดินขนาด 20x40x10 ซม.รอไว้ระหว่างที่ทำโครงสร้างหลังคาก็จะตากก้อนดินให้แห้งประมาณ 7 วันแล้วพลิกดินขึ้นตั้งไว้ให้อีกด้านหนึ่งแห้ง

17765_362113587238712_1045687387_n

ปั้นดิน

539129_362135193903218_661025808_n

เพื่อห้องเรียนของเรา

529095_362135150569889_569459058_n

ความหวังของนักเรียนจะได้มีห้องเรียนบ้านดิน

563763_362135220569882_354497408_n

ห้องเรียนเราต้องช่วยกัน

3.เมื่อก้อนอิฐดินแห้งก็นำมาก่อผนังไปตามแบบที่ออกไว้ โดยใช้ดินเหนี่ยวที่ยำมาเป็นไส้ในการเชื่อมก้อนดินให้ติดกันเหมือนผสมปูนก่ออิฐบล็อกทั่วไป การก่อก็วางทับกันขึ้นไปเป็นชั้นจนถึงระดับความสูงที่ต้องการ

555468_362113463905391_988052326_n

เจ้าหน้าที่ตรวจความเย็นของห้อง

65360_362113460572058_550141756_n

การก่ออิฐดิน

57983_362113430572061_791335843_n

ถ้าก้อนอิฐเรียบก็จะก่อง่าย

553707_362113477238723_1079895239_n

โคลนใช้ก่ออิฐดิน

4.เมื่อก่อผนังเสร็จติดตั้งวงกบประตู หน้าต่างตามระดับที่เขียนไว้ในแบบ ข้อควรระวังคือวงกบหน้าต่าง หรือประตูต้องแข็งแรงโดยการทำสลักยื่นเข้าไปในผนังแล้วก่ออิฐดินทับไว้ จะได้ช่วยยึดให้แข็งแรง หากเทคอนกรีตทับด้านบนของวงกบหน้าต่างและวงกบประตูจะแข็งแรงยิ่งขึ้น

537020_362113490572055_716122179_n

วางวงกบหน้าต่างตามปกติ

5.เมื่อเสร็จแล้วก็เตรียมฉาบผนังด้วยดินโคลนที่เรานำมาปันก้อนอิฐ ขอแนะนำว่าอย่าให้ผนังแห้งเกินไปเพราะเวลาฉาบการแห้งของดินฉาบจะแห้งเร็วกวาจะเป็นรอยแตกลายงา แต่ไม่ได้อันตรายเป็นแค่ผิวดินบางๆที่ฉาบเท่านั้น

58065_362113493905388_531745096_n

การฉาบก็ใช้โคลนที่ก่ออิฐมาฉาบ

6.เมื่อฉาบเสร็จก็เทพื้นคอนกรีตเสริมเหล็กแล้วปูกระเบื้องให้สวยงาม

149460_362113523905385_447892822_n

เสร็จแล้วปูกระเบื้องพื้นให้สวยงาม

7.ก็จะได้ห้องเรียนบ้านดินเย็นสบาย ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ลดการใช้แอร์ ใช้ไฟฟ้า ช่วยลดภาวะโลกร้อนของเราได้

ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊ค โรงเรียนศรีแสงธรรม

https://www.facebook.com/sisaengtham.ac.th

แบตมือถือเก่าเราซ่อมได้

ลงทุนไม่ถึง 10 มีไฟใช้ได้เป็นปี

เพราะเหตุใดเด็กไทยไม่เอาถ่าน

10675554_725093297607404_7390451521004530106_n

เมื่อได้แบตเตอรี่เก่ามาต้องวัดแรงดันก่อน

แบตเตอรี่เก่า

แบตเตอรี่เก่าที่ไม่่มีแรงดันต้องคัดไว้เตรียมใส่ถุงไปฝังในดิน

แบตเตอรี่เก่าจากโทรศัพท์มือถือ ถ่านไฟฟ้าเก่า หรือแบตเตอรี่เก่าประเภทต่างๆจัดเป็นขยะมีพิษหากใช้แล้วทิ้งไม่ถูกที่ก็จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพราะโลหะหนักในแบตเตอรี่จะกระจายไปในน้ำ ในดิน เกิดอันตรายต่อคนและสัตว์

10488023_725093300940737_6632397691656457352_n

วิทยุนี้ใช้ไฟ 4.5 V หรือถ่านไฟฉาย 3 ก้อนต่อเดือน หรือ 20 วันถ้าเปิดนาน

หากเราประหยัดหรือลดปริมาณการใช้แบตเตอรี่หรือนำมาทำให้ใช้ประโยชน์ได้นานขึ้นก็จะเป็นกการช่วยลดปริมาณขยะพิษจากถ่านไฟฉายที่ใช้แล้วทิ้ง หรือจะช่วยประหยัดการซื้อถ่านไฟฉายเพื่อใช้ในวิทยุปกติตามชนบทมักจะเปิดวิทยุทรานซิสเตอร์ใช้ถ่านไฟฉายประมาณเดือนละ 3 ก้อนราคาก้อนละ 12 บาท รวมเป็น 36 บาทต่อเดือนหรือ 432 บาทต่อปีหากในหมู่บ้านใช้รวมกันถึง 200 เครืองก็จะช่วยลดปริมาณถ่านไฟฉายได้ถึง 7,200 ก้อน คิดเป็นเงิน 86,400 บาทต่อปี

แรงดันแบตเตอรี่

ก้อนนี้มีแรงดัน 2 โวลท์

ดังนั่นก่อนที่จะนำแบตเตอรี่เก่าจากโทรศัพท์มือถือที่ใช้แล้วไปทิ้งหากมีแรงดันเหลืออยู่สามารถนำกลับมาใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าที่แรงดันระหว่าง 3-5 V.โดยต่อขั้วบวก และ ขั้วลบเข้ากับวิทยุเพื่อใช้ได้เลย หากไฟหมดเราจำเป็นต้องทำที่ชาร์จโดยนำสายชาร์จเก่า หรือขยะอิเลคโทรนิคทีเป็นส่วนสายชาร์จมาต่อเข้ากับขั้วแบตเพื่อชาร์จไฟจากที่ชาร์จโทรศัพท์มือถือ ชาร์จไว้ประมาณ 2 ชม.แบตก็จะเต็ม สามารถนำไปใช้ได้กับวิทยุต่อเนื่องกันได้ถึง 20 ชม.

10428717_725093337607400_7032807294286232879_n

สาย USB ของอุปกรณ์อิเลคโทรนิค

10451702_725093614274039_5721575234018986476_n

ที่ชาร์จของอะไรก็ได้ที่ USB เสียบได้

10689991_725093547607379_6527184032526401984_n เป็นการนำขยะพิษมายืดอายุการใช้ และยังลดปริมาณถ่านไฟฉายที่จะถูกทิ้งลงเป็นขยะ ช่วยลดค่าใช้จ่ายครัวเรือนไปจนถึงระดับประเทศ ด้วยการลดขยะพิษ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้

วิทยุไม่เอาถ่าน

ลักษณะการต่อ

1888608_725093360940731_4673771507400390036_n 10383107_725093434274057_5956262820951760500_n เมื่อต่อเสร็จแล้วนำไปชาร์จจากไฟฟ้าในบ้านได้เลย 1503350_725093587607375_5111734510062383372_n ชาร์จไว้ 2 ชั่วโมงแล้วนำมาวัดดูค่าแรงดัน 10632882_725145464268854_7098619230912882879_n

แรงดันในแบตเตอรี่

หลังจากชาร์จแบตเตอรี่ไว้ 2 ชม.แรงดันเพิ่มขึ้น

ง่ายแค่นี้ใช้เวลาทำไม่ถึงสิบนาทีคุณก็มีถ่านไฟใช้กับวิทยุได้อีกเป็นปีสองปี ปล.สามารถทำให้ชาร์จกับแผ่นโซล่าเซลล์ได้